คุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มตั้งท้องอาจจะคิดว่าวันคลอดนั้นยังอยู่ไกลออกไปเยอะแยะ แต่เอาเข้าจริงๆ เวลา 40 สัปดาห์ มันสั้นนิดเดียวจริงๆ นะคะ เผลอแป๊บเดียว เข้าสัปดาห์ที่ 37-38 แล้วค่ะ
รู้ตัวอีกทีคุณหมอก็นัดวันคลอด เผลออีกนิดก็เห็นหน้าลูกน้อยๆ แล้วค่ะ ❤️👶❤️
ในระหว่างที่ตั้งท้องอยู่ คุณแม่ควรใช้เวลาที่มีเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง (เหนื่อยนิด แต่มีความสุขม๊ากมากค่ะ) ที่กำลังจะมาค่ะ
เตรียมตัวตอนนี้ ตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น (สบายใจ ชิลได้) เวลาที่ใกล้วันนัดของคุณหมอนะคะ
เพราะสุขภาพจิตที่ดีของคุณแม่ส่งผลที่ดีต่อลูกในครรภ์มากที่สุดเลยค่ะ
เอาล่ะค่ะ มาเริ่มกันเลยนะคะ
เรียนรู้ขั้นตอนการคลอด (คลอดธรรมชาติ หรือผ่าคลอด)
ความเห็นเรื่องวิธีคลอดลูกมีเยอะไปหมดค่ะ หลายความเห็น หลายตำรา หลายวิธี จนบางทีคุณอาจไม่อยากจะเรียนรู้ จนกว่าจะใกล้ๆ (แต่พอใกล้ๆ คลอดแล้วก็มักจะยุ่งกับเรื่องอื่นจนไม่ค่อยมีเวลากันนะคะ)
เอาจริงๆ คุณแม่ที่รู้และตัดสินใจแต่เนิ่นๆ ก็จะมีความสบายใจในการคลอดมากกว่าคุณแม่ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องหรือยังไม่ตัดสินใจจนใกล้คลอดนะคะ
เอาเป็นว่า รู้ก่อนก็เตรียมตัวก่อนค่ะ ตัดสินใจตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจะคลอดแบบไหนดี โดยไม่โดนกดดันจากเงื่อนไขเวลาค่ะ
แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกแบบไหน พอเลือกแล้วก็ไม่ต้องสนใจคอมเม้นท์คนอื่นๆ ให้มากนะคะ เพราะในการคลอดนั้น ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดค่ะ ทุกวิธีมีข้อดีมีข้อเสีย เพราะฉะนั้นเอาวิธีที่เราสบายใจและเหมาะกับเราที่สุดดีที่สุดค่ะ
บางบทความบอกว่าคุณควรจะเลือกคลอดธรรมชาติ เพราะว่าการคลอดเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่ในความเป็นจริงร่างกายของแต่บุคคลก็ไม่เหมือนกันค่ะ การคลอดธรรมชาติอาจจะไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคุณก็ได้ค่ะ
ลองศึกษากันให้ดีก่อนนะคะ เพราะว่าร่างกายของคุณไม่เหมือนใครค่ะ
ฝากท้องแล้วเปลี่ยนที่ได้นะคะ
กรณีที่คุณฝากท้องอยู่ที่โรงพยาบาลนึง แต่อยากจะคลอดอีกโรงพยาบาลนึง สามารถทำได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลจากความจำเป็น อย่างเช่น ต้องย้ายบ้าน หรือว่าจะเป็นความพอใจส่วนตัวที่อยากทำคลอดกับหมออีกคนนึงมากกว่า ก็สามารถทำได้ตลอดค่ะ
แค่ขอประวัติจากโรงพยาบาลเดิม และเข้าฝากท้องที่โรงพยาบาลใหม่ตามขั้นตอนปกติของโรงพยาบาลใหม่ได้เลยค่ะ
เปลี่ยนโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ อย่าไปยึดติด และไม่ต้องเกรงใจด้วยค่าา
คุยและอัพเดทกับคุณสามีอยู่ตลอดเวลาค่ะ
นอกจากที่คุณจะคุยกับคุณสามีเรื่องว่าเค้าจะสามารถช่วยอะไรคุณได้บ้างในช่วงระหว่างคลอด (ซึ่งสาวๆ ส่วนมากจะไม่ค่อยพลาดคุยเรื่องในห้องคลอดกับสามีค่ะ) คุณยังควรจะคุยกับเค้าเรื่องหลังคลอดและเรื่องเกี่ยวกับลูกเรื่องอื่นๆ แต่เนิ่นๆ ด้วยนะคะ
เรื่องหลังคลอดนี่ถ้าความเข้าใจไม่ตรงกันแล้วล่ะก็ อาจมีทะเลาะกันได้ง่ายๆ และก็จะทำให้คุณแม่ป้ายแดงปวดหัวหงุดหงิดกันไปเปล่าๆ ค่ะ
เพราะสิ่งที่คุณคิดว่าเค้าควรจะรู้ เค้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ค่ะ
เอาง่ายๆ อย่างเช่น ใครจะเป็นคนล้างขวดนมเนี่ย ทำสามีภรรบยาใหม่ทะเลาะมานับต่อนับแล้วค่ะ
ทางที่ดี อย่าคิดไปเองดีที่สุดค่ะ
หาเวลานั่งคุยกับคุณสามีว่า หลังคลอดแล้วคุณจะแบ่งหน้าที่กันยังไง ใครจะดูแลเรื่องไหน เอาให้ชัดเจนค่ะ
นอกจากนี้ก็อย่าลืมตัดสินใจร่วมกันในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก
ตั้งแต่เรื่องการตั้งชื่อลูก จนไปถึงเรื่องว่าจะขลิบให้ลูกเลยหรือเปล่า (กรณีได้ลูกชายค่ะ) คุยกันให้ชัดๆไปเลยนะคะ
ที่สำคัญ คุณต้องสอนให้คุณผู้ชายรู้ว่าเค้าควรจะช่วยเรื่องละเอียดอ่อนเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น สอนให้เค้ารู้จักช่วยคุณเวลาคุณป้อมนมลูกด้วยค่ะ
คุยกับคุณแม่มือเก๋า
เรื่องบางเรื่องหาเสริจจากอินเตอร์เน็ตไม่มีนะคะ โดยเฉพาะเรื่องของการท้องและมีลูกเนี่ย รายละเอียดมันเยอะมากค่ะ หรือแม้ว่าหาได้ อ่านกับคุยจริงๆ ก็ไม่เหมือนกันค่ะ
ดังนั้น การที่คุณได้คุยกับเพื่อนที่ผ่านการมีลูกมาแล้วจะให้ประโยชน์กับคุณมากเลยนะคะ เพราะเค้าจะสามารถแชร์เรื่องต่างๆ ที่คุณอาจจะหาอ่านบนอินเตอร์เน็ตไม่ได้เยอะแยะเลยค่ะ
ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการปัสสาวะเล็ด (ใช้ NAKIE ช่วยได้นะคะ) หรืออารมณ์ Baby Blues หรือแม้กระทั้งความรู้สึกทางเพศที่อาจจะลดลง (หรือเพิ่มขึ้น!)
ก่อนไปคุย จำไว้นิดนึงนะคะว่า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเพื่อน ไม่จำเป็นจะต้องเกิดกับคุณนะคะ แต่รับรองค่ะว่าคุณจะได้อะไรดีๆ มากมายจากเพื่อนที่มีประสพการณ์มาแล้วแน่นอนค่ะ
อ้อ ขอเตือนไว้นิดเดียวนะคะว่า ถ้าเพื่อนคนนั้นเริ่มคุยเรื่องที่ไม่เข้าท่าอย่างเช่นว่า เพื่อนของเพื่อน (ของเพื่อนของเพื่อน...) คลอดลูกแล้วมีอุปสรรค์มากมาย ทั้งเจ็บทั้งหมอทำพลาด ฟังดูแล้วน่ากลัวมาก อะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นความหวังดีที่มาผิดเวลาค่ะ
ขอให้คุณ (ซึ่งกำลังท้องอยู่) ค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องคุยไปคุยเรื่องอื่นที่เบาๆ สบายๆ อย่างเช่นว่า จุกนมยี่ห้อไหนดีที่สุด ผ้าอ้อมยี่ห้อไหนดี อะไรทำนองนี้ดีกว่านะคะ
สรุปก็คือ เลือกคนที่คุยด้วยด้วยนะค้าาา
เตรียมตัวเตรียมใจลูกๆที่บ้าน และสัตว์เลี้ยง (รวมถึงคุณสามีด้วยนะคะ)
คุณรู้ไหมคะว่า การที่มีทารกเข้ามาอยู่ในบ้าน อาจเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบของลูกๆ ของคุณ หรือสัตว์เลี้ยงอย่างหมาหรือแมวที่อยู่มาก่อนได้ง่ายๆ ค่ะ
ทำไมน่ะเหรอคะ? ก็เพราะพวกเค้าต้องการความรักจากคุณมากๆ น่ะสิคะ
อาการนี้เรียกว่า “น้อยใจ” ค่ะ แล้วความน้อยใจนี้จะเปลี่ยนเป็นความอิจฉาได้ง่ายๆ เลยนะคะ
เพราะฉะนั้น คุณ ในฐานะคนกลางต้องเป็นคนประสานให้ทุกคนรักกันเหมือนเดิมนะคะ
ลองเทคนิคง่ายๆ ตามนี้ กับลูกๆ ได้นะคะ
- ให้ลูกลองเล่นตุ๊กตาเด็กอ่อน จับเปลี่ยนผ้าอ้อม สร้างความคุ้นเคยให้กับลูกๆไว้ก่อนค่ะ ให้พวกเค้าเรียนรู้ว่านี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นค่ะ
- สอนให้เค้ารู้ว่าน้องแรกเกิดจะนอนเยอะมากๆ บางครั้งอาจร้องไห้เสียงดังโดยที่ไม่มีเหตุผลนัก แล้วก็อย่าลืมสอนว่าต้องคอยดูแลน้องยังไงให้ปลอดภัยด้วยนะคะ
- ให้ความเอาใจใส่เหมือนเดิม แล้วในช่วงที่ใกล้คลอดและหลังคลอดช่วงแรก คุณอาจจะต้องหาคนมาช่วยดูแลพวกเค้าด้วยนะคะ
สำหรับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะสุนัข) คุณอาจทำอย่างนี้ได้ค่ะ
- ก่อนกลับบ้าน: เปิดคลิปเสียงเด็กร้องให้พวกเค้าฟังให้คุ้นเคยก่อนค่ะ
- วันที่กลับมาที่บ้าน: ให้พวกเค้าดมกลิ่นเสื้อหรือผ้าอ้อมของทารกก่อนที่จะพาทากรเข้าบ้านจริงๆ ค่ะ
- สร้างกติกาให้ชัดเจน: เช่น ฝึกว่าห้ามแตะต้องทารกเลย หรือว่าดมๆเลียๆได้เฉพาะที่เท้าเท่านั้น หรือแม้กระทั่งว่า พวกเค้าต้องไปอยู่ในที่เฉพาะ (กักบริเวณ) เวลาที่ทารกออกมา (แต่เรื่องการสร้างกติกา หรือกักบริเวณจริงๆ เราเข้าใจดีกว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนะคะ ถ้าความกังวลของคุณแม่เป็นเรื่องของขนสัตว์ที่อาจเข้าจมูก เข้าปากทารกได้ ก็อาจจะใช้วิธีเป็นมีผ้าสะอาดสำหรับรองพื้นเวลาที่ทารกจะนอนหรือเล่นค่ะ)
- ทักทายให้เป็นนิสัย: ทุกครั้งที่กลับบ้านมา อย่าลืมทักทายพวกเค้าก่อน เค้าจะได้รู้ว่าคุณยังรักพวกเค้าอยู่ แล้วก็จะไม่อิจฉาสมาชิกใหม่ของครอบครัวของคุณค่ะ
- เชื่อมความสัมพันธ์: ถ้าพวกเค้ามีนิสัยค่อนข้างสุภาพ พยายามให้เค้าใกล้ชิดกับทารกบ้างในสายตาของคุณ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากๆนะคะ ให้เค้ารักลูกของคุณเหมือนกับที่เค้ารักคุณ
- ข้อที่สำคัญที่สุด: ความรักของคุณที่มีให้กับพวกเค้าค่ะ
จัดแจงขอความช่วยเหลือหลังคลอดให้ครบถ้วน
ช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์แรกหลังคลอด จะเป็นช่วงเวลาที่คุณต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดเลยค่ะ ขอให้อย่าพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองค่ะ
เพราะหน้าที่ของคุณคือดูแลลูกให้ดีที่สุด
ดังนั้น อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง เพื่อให้พวกเค้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของคุณ
เรื่องอย่างนี้ ต้องจัดแจงให้เสร็จก่อนคลอดนะคะ เพราะถ้าคุณไม่ได้จัดแจงให้ดีตั้งแต่ก่อนคลอด แล้วปล่อยให้ความช่วยเหลือเกิดขึ้นตามธรรมชาติ กว่าที่คุณจะตั้งตัวได้อีกที คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ก็จะเข้ามาดูแลลูกและครอบครัวของคุณในแบบที่พวกเค้ามองว่าดีค่ะ (แต่อาจจะเป็นแบบที่คุณไม่ต้องการก็ได้ ใช่ไหมคะ)
คุณอาจจะคิดว่า "แต่ถ้าจะไม่ให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายทำอะไรเลย เดี๋ยวเค้าก็น้อยใจหรอก?" คุณอาจลองให้พวกเค้าดูแลเรื่องอื่นๆ อย่างเช่นเรื่องของการซักผ้า ซื้อของ ทำความสะอาด อะไรพวกนี้ก็ได้ค่ะ
เข้าใจนะคะว่าไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ทุกคนที่จะโอเคกับงานข้างบนค่ะ แต่เชื่อเถอะค่ะว่า ถ้าคุณคุยกับพวกเค้าจริงๆ ว่าอยากให้เค้าทำอะไร เค้าก็จะเต็มใจที่จะช่วยแน่นอนค่ะ
แบ่งหน้าที่ของคนใกล้ตัวให้ชัดเจนก่อนคลอดจะทำให้ชีวิตหลังคลอดราบรื่นขึ้นมากมายค่ะ
แต่ถ้าคนใกล้ตัวมีไม่พอก็ลองศึกษาการรับพี่เลี้ยงจากศูนย์มาช่วยนะคะ อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกนะคะ อย่าลืมติดต่อศูนย์ให้เรียบร้อยก่อนคลอดนะคะ
รู้ให้ชัดว่าพอเริ่มเจ็บท้องแล้วคุณต้องทำอะไรบ้าง
คุณควรต้องมีแผนชัดเจนค่ะว่า ถ้าเจ็บท้องแล้วคุณต้องทำอะไรบ้าง (อย่าปล่อยให้เริ่มเจ็บท้องก่อนแล้วค่อยมาคิดนะคะ)
ถ้ายังไม่แน่ใจว่าควรจะต้องทำอะไรบ้าง ลองทำตามสเต็ปเหล่านี้ได้เลยค่ะ
- อ่านคู่มือหรือเอกสารที่ได้จากโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์ให้ถี่ถ้วนว่าคุณต้องเตรียมอะไรบ้าง
- เมมเบอร์โทรศัพท์ที่สำคัญเก็บไว้ในมือถือ ทั้งของคุณและของคุณสามี (อย่าเก็บเป็นเศษกระดาษนะคะ เดี๋ยวทำหายได้ง่ายๆ ค่ะ)
- ตัดสินใจว่าจะให้ใครไปโรงพยาบาลกับคุณ และเผื่อสำรองไว้ด้วยนะคะ เช่น อันดับ 1 คุณสามี อันดับ 2 เพื่อนสนิท A อันดับ 3 เพื่อนสนิท B แล้วอย่าลืมบอกพวกเค้าด้วยนะคะว่าให้รับโทรศัพท์ตลอด เพราะว่าคุณอาจจะต้องให้พวกเค้าไปโรงพยาบาลด้วยเมื่อไหร่ก็ได้
- วางแผนเส้นทางการไปโรงพยาบาลให้ดี ให้รู้ว่าต้องไปยังไง เข้าประตูไหน วนยังไง จอดรถที่ไหน อ้อ แล้วก็ต้องเตรียมทั้งกรณีเจ็บท้องที่บ้าน และที่อื่นๆ ด้วยนะคะ (เช่น ที่ทำงาน เป็นต้น) แล้วถ้าเป็นไปได้ คิดเผื่อเส้นทางทั้งกลางวันและกลางคืนนะคะ (ก็คุณตำรวจบางทีก็ปิดถนนบางช่วงเวลานี่คะ)
จัดกระเป๋าให้เรียบร้อยค่ะ
คุณคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบว่า เจ็บท้องจะคลอดอยู่แล้งแต่ต้องมาจัดข้าวของไปโรงพยาบาล ถูกไหมคะ?
เพราะฉะนั้นเตรียมกระเป๋าให้พร้อม 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอดนะคะ
จัดไว้อย่างน้อยสองชุดนะคะ 1 ชุดไว้ที่บ้านค่ะ อีก 1 ชุดเก็บไว้ท้ายรถค่ะ
ประกันสุขภาพของลูก
ส่วนมากประกันสุขภาพจะเริ่มคุ้มครองเด็กตั้งแต่อายุ 1 เดือนขึ้นไปค่ะ
เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็คือ รีบคุยกับตัวแทนและตกลงให้เสร็จสรรพตั้งแต่ก่อนคลอดค่ะ พอหลังคลอดก็นัดให้เค้าเอาใบสมัครประกันมาให้เซ็นจ่ายเงินให้เรียบร้อย ลูกจะได้มีประกันคุ้มครองเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยค่ะ
ทำประกันไว้ สบายใจค่ะ เด็กเล็กๆ เดี๋ยวนี้ไม่สบายกันบ่อยค่ะ
หาตัวช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องต่างๆ
ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนคลอดและ 3 เดือนหลังคลอดจะเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่เหนื่อยมากๆ ทั้งร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนปกติ อึดอัด แล้วก็ปวดเมื่อยไปหมด อารมณ์ก็ไม่ค่อยปกติ นอนน้อย แถมคุณแม่บางคนยังเป็นมาม่าบลูส์อีกต่างหาก
ถ้าคุณแม่สามารถหาอะไรมาแบ่งเบาภาระความเหนื่อยและหน้าที่ต่างๆ ได้ คุณแม่ก็จะสามารถโฟกัสกับการดูแลครรภ์และดูแลลูกได้ดีขึ้นไปอีกค่ะ
การซักกางเกงชั้นในก็อาจจะเป็นเรื่องนึงที่คุณแม่อาจจะเบื่อและเหนื่อยที่จะทำ ในเวลาปกติการซักกางเกงในเองด้วยมือก็ไม่ใช่เรื่องสนุกอยู่แล้ว ยิ่งพอตอนท้องแก่ หรือคลอดน้องใหม่ๆ ยิ่งไม่สนุกเข้าไปใหญ่ค่ะ
คุณแม่อาจลองพิจารณาใช้ NAKIE กางเกงชั้นในใช้แล้วทิ้งเกรดพรีเมี่ยมมาช่วยแบ่งเบาคุณแม่นะคะ NAKIE เป็นเนื้อผ้าทอ ยืดหยุ่นได้มาก ใส่สบาย เหมือนกางเกงชั้นในจริงๆ ไม่อับ ไม่คันค่ะ
การซักกางเกงชั้นในปกติอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในช่วงเวลาใกล้คลอดหรือหลังคลอดใหม่ๆ การลดภาระได้ 1 อย่างก็ถือว่าเป็นความสุขของคุณแม่อย่างนึงเลยนะคะ